ประวัติความเป็นมา
การไปวัดในสมัยก่อน
ในวันบุญใหญ่คนสมัยนั้นจะนำดอกไม้นานาชนิดที่ปลูกไว้ภายในบริเวณบ้าน ธูป เทียน
ใส่สวย(กรวย) ที่ทำมาจากใบตองใส่สลุงเงิน(ขันเงิน)ไปวัด
ผู้หญิงล้านนาที่ไว้ผมยาวจะเกล้ามวยผมให้สวยงามและจะนำดอกไม้มาติดกับมวยผมตอนไปวัด
ในการติดดอกไม้ไปวัดนั้นเชื่อว่าเพื่อเป็นการบูชาหัวและเพื่อเวลาก้มหัวจะเป็นการบูชาพระเจ้า
หรือเรียกว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่อง"ขวัญ" ของคนในกลุ่มชาวไต-ลาว
ที่เชื่อว่าคนเรามีขวัญอยู่ทั้งหมด 32 ขวัญ การประดับดอกไม้จึงเป็นการบูชาขวัญบนกระหม่อม
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัว
การติดดอกไม้ไหวนั้นสมัยก่อนนิยมใช้ดอกไม้สดหรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม อธิเช่น
ดอกสะบันงา, ดอกเอื้องแซะ, ดอกพุทธหลวง,
ดอกมะลิ, เป็นต้น ซึ่งในอดีตเป็นดอกไม้หายาก
แต่เนื่องจากมีกลิ่นหอม สาวๆ จึงนิยมหามาประดับมวยผม
ขณะที่เอื้องผึ้งมักใช้ประดับเมื่อมีการฟ้อนและใช้บูชาผีปู่ย่า
ส่วนเอื้องแซะที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มักใช้เป็นเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์
การมวยผมปักปิ่นเป็นเอกลักษณ์การแต่งการแบบล้านนา “ปิ่นปักผม” การใช้ปิ่นปักผมมีประโยชน์ทั้งใช้เพื่อขัดผมให้อยู่ทรง
หรือใช้เป็นเครื่องประดับเพื่อเพิ่มความสวยงามให้มวยผม
วัสดุที่นำมาทำปิ่นก็มีแตกต่างกันไป เช่น ปิ่นเงิน ปิ่นทองคำ ปิ่นทองเหลือง
ปิ่นที่ทำจากเขา-กระดูกสัตว์ “ปิ่นปักผม” มีลักษณะแตกต่างกันออกไปแสดงถึงลักษณะการแต่งกายของในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น “ปิ่นที่แม่แจ่ม” ทำเป็นช่อชั้นคล้ายเจดีย์
ซึ่งปิ่นโบราณที่พบในล้านนาก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ นอกจากนี้ยัง
มีปิ่นที่ทำเป็นรูปร่ม ได้แก่ ปิ่นจ้องของชาวไทลื้อ หรือไทเขินในเชียงตุง
การปักปิ่นการเลือกปิ่นนั้นสะท้อนให้เห็นถึงกาลเทศะทางสังคมอย่างเช่น
การติดดอกไม้ไหวไปวัดกับการติดดอกไม้ไหวของช่างฟ้อนในการติดดอกไม้ไหวไปวัดนั้นดอกไม้ที่นำมาจะเป็นดอกไม้หอมสีเรียบๆ และใช้เพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ส่วนดอกไม้ที่ติดผมช่างฟ้อนจะเป็นแบบใดก็ได้ติดเพื่อประดับตกแต่งพิ่มความสวยงามให้มวยผม
การประดับมวยด้วยปิ่น
ดอกไม้ไหว ซึ่งทำจากโลหะมีค่า เช่น เงิน ทอง อัญมณี นั้นบ่งบอกถึงฐานะของผู้ใช้
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้านายหรือผู้ที่มีฐานะพอสมควร ปิ่นปักผมนั้น
คนเหนือเดิมเรียกว่า “หย่อง”
เวลาใช้จะมีสายเชือกมัดปลายผมแล้วเสียบตัวปิ่นเข้าไปในมวยผม
ปิ่นดอกไม้ไหวแบบโลหะนั้นไม่ได้มีมาตั้งแต่ยุคแรกแต่พึ่งมีมาทำเมื่อยุคหลังน่าจะเป็นของอินโดฯ
บาหลีมีเล่าว่าพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่5 ในครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จประพาสชะวา
ปัจจุบันดอกไม้ไหวนิยมใช้ประดับในการแสดงต่างๆมากกกว่าการที่จะติดดอกไม้ไหวไปวัด
ดอกไม้ไหวโลหะมีหลายแบบแต่ที่นิยมมักจะทำดอกที่เป็นช่อ เช่น ช่องดอกเอื้อง เป็นต้น
ดอกไมไหว คือ ดอกไม้ที่ทําจากแผนอลูมิเนียมหรือแผนทองเหลืองนํามาติดกับเสนลวดที่ขดเปนสปริง
ทําใหดอกไม เคลื่อนไหวตามแรงสั่นหรือเคลื่อนไหวจึง เรียกวาดอกไมไหว ดอกไมไหวในอดีตใชสําหรับประดับมวยผม
หรือขณะโพกผม จะใชเฉพาะผูสูงศักดิ์สําหรับชาวบ้านธรรมดาจะใชดอกไมในการประดับมวยผมแต
สําหรับหญิงที่เปนชางฟอนเล็บก็จะนํามาประดับมวยผมในวันฟอนเล็บด้วยแตปจจุบันนอกจากจะใชประดับมวยผมแล้วยังใชประดับประดาอาคารบ
านเรือน โดยการนําไปใส แจกันตั้งโตะหรือแจกันแขวนผนังอีกด้วย
ขั้นตอนวิธีทำดอกไมไหว
1.)
นำแผนอลูมิเนียมหรือแผนทองเหลืองมาตัดเปนรูปดอกไมขนาดเล็ก
ๆ
2.)
นํากลีบดอกที่ตัดแล้วมาแกะเป็นลวดลายลงบนกลีบดอกไม
3.)
นําเสนลวดมาพันเปนขดสปริง
4.)
นํากลีบดอกไมมาติดที่ก้านสปริงทําหลายๆ
ชอเล็ก
5.)
นํามาประกอบเปนชอใหญ
แหล่งที่มา
เจ้านางละอองคำ .(๒๕๕๖).
การแต่งกายของแม่หญิงล้านนาที่ถูกต้อง.ค้นเมื่อ๓ กรกฏาคม ๒๕๕๖. จาก. http://board.postjung.com/572637.html
วิลักษณ์
ศรีป่าซาง.ครัวหย้องของงามแม่ญิงล้านนา. พิมพ์ครั้งที่1: จังหวัดเชียงใหม่.สถาบันวิจัยสังคม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2547
วิหกพลัดถิ่น.(๒๕๕๖).ปู่จาหัว
ยะจะได๋ ผ่อกันเน้อ.....ไป๋แอ่วบ้านสาว โตยป้อครูแอ๊ด ภาณุทัต.ค้นเมื่อ๒๙ กรกฎาคม
๒๕๕๖.จาก.http://www.oknation.net/blog/print.php?id=129108.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น